28 เมษายน 2554

เกร็ดเล็กๆแต่ใหญ่เยี่ยงชีวิตของคนสุรินทร์

วันนี้ 28 เมษายน 2554 
เสียงระเบิดเพิ่งสงบลงตอนแปดโมงเข้า
ข่าวบอกว่ามีทหารเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน

ฟังข่าววิทยุขณะเดินทางไปสัมภาษณ์ผู้สอบบรรจุครู

น้องๆมาจากกาบเชิง พูดให้ฟัง ทั้งน้ำตา

ว่าชาวบ้านกลัวแทบตาย  วิ่งขึ้นรถปิ๊กอัพอย่างไร
ให้ได้ครบ 30 คน  ผู้หญิงกับเด็กขึ้นก่อน
ลูกระเบิดมาตกที่หลังโรงเรียนมัธยมกาบเชิง

คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง 
============ =================

ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอกาบเชิง
และอำเภอพนมดงรักอพยพเข้ามาพักพิงที่โรงเรียน
โรงเรียนภูตัน อำเภอกาบเชิง  
และยังมีอีก 2 แห่ง 
 นอกจากนั้นก็อพยพมาพักพิงที่โรงเรียนประสาทวิทยาคารและอื่นๆ 


 อำเภอปราสาทซึ่งห่างจากอำเภอเมืองสุรินทร์เพียงไม่ถึง 30 กม.


!!!!!!????? 

========= =====================
ผู้ทำหน้าที่รักษาพยาบาล  ทั้งในโรงพยาบาล
สถานีอนามัยในจังหวัดสุรินทร์  มีหน้าที่เข้าเวรยาม
ดูแลผู้ป่วยกาย  ป่วยใจ  ใครได้รับบาดเจ็บหนักก็ส่งเข้า
โรงพยาบาลสุรินทร์......

เราขอให้กำลังใจทุกท่านในแนวหน้า


เชิญชวนทุกท่านบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพชาวไทย
จังหวัดสุรินทร์ กันคนละไม้ละมือ


ถ้าเขาต้องการโลหิต   เราคนหนึ่งละ  จะไปบริจาค
ด้วยความเต็มใจ.


+++++++++++++++++++


อนาถใจมากไทยกับเขมร เหมือนกันกับ
ชาวนากับงูเห่าจริง


คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคนไทยสุรินทร์ด้วยเถิด สาธุ

24 เมษายน 2554

ว5 (54) หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยะฐานะหรือเลือนเป็นวิทยะฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ


หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยะฐานะหรือเลือนเป็นวิทยะฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 

สิ่งที่ส่งมาด้วย มีรายละเอียดประกอบด้วย

(1) หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยะฐานะหรือเลือนเป็นวิทยะฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ
1. ครู
  - ครูชำนาญการพิเศษ  - ครูเชี่ยวชาญ
2. รอง ผอ.สถานศึกษา
  - รอง.ผอ.ชำนาญการพิเศษ
  - รอง.ผอ.เชี่ยวชาญ
3. ผอ.สถานศึกษา
  - ผอ.ชำนาญการพิเศษ
  - ผอ.เชี่ยวชาญ
4. รอง ผอ.สพท
  - รองผอ.สพท. ชำนาญการพิเศษ
  - รองผอ.สพท.เชี่ยวชาญ
5. ผอ.สพท
  - ผอ.สพท.เชี่ยวชาญ
6. รอง ผอ.กศน จังหวัด
  - รองผอ.กศน.จังหวัด ชำนาญการพิเศษ
  - รอง ผอ.กศน.จังหวัด เชี่ยวชาญ
7. ผอ.กศน จังหวัด
  - ผอ กศน.จังหวัดเชี่ยวชาญ
8 . ศึกษานิเทศก์
  - ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ  - ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ

(2) แบบคำขอให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยะฐานะหรือเลือนเป็นวิทยะฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (ทุกตำแหน่ง) 
(3) แบบรายงานด้านที่ 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
  - แบบรายงานด้านที่ 1 ทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ

(4) แบบรายงานผลการปฏิบัติงาน (ด้านที่ 3)
แบบรายงานด้านที่ 3 สายงานการสอน
  - การศึกษาพิเศษ
  - เด็กปกติและเด็กปฐมวัย
  - สำนักงาน กศน
แบบรายงานด้านที่ 3 สายงานนิเทศการศึกษา
แบบรายงานด้านที่ 3 สายงานบริหารการศึกษา
  - สพท.  - กศน.
แบบรายงานด้านที่ 3 สายงานบริหารสถานศึกษา
  - กศน.
  - ศูนย์การศึกษาพิเศษ
  - สพฐ.  - อาชีวะ
  - โรงเรียนเฉพาะความพิการ

(5) แบบข้อเสนอในการพัฒนางาน (ด้านที่ 3 ส่วนที่ 3)

(6) แบบคัดค้านผู้ได้รับการคัดเลือกฯ


อ่านรายละเอียดได้ ที่


http://www.kroobannok.com



ชี้เกณฑ์เชิงประจักษ์ยึด "ผลปฏิบัติงาน" ก.ค.ศ.เพิ่มช่องทางคัดค้านที่เว็บเขต

นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)
เปิดเผยความคืบหน้าหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 
(ก.ค.ศ.) มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มี
ผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะ
ชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และคู่มือการประเมินว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำ
คู่มือหลักเกณฑ์และวิธีการให้เสร็จสมบูรณ์และให้เป็นไปตามมติ ก.ค.ศ.ตลอดจนนโยบาย
ของนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยมีการปรับ
รายละเอียดเพิ่มเติมในบางส่วน ได้แก่ เมื่อมีการเสนอข้าราชการครูและบุคลากรทาง
การศึกษาที่มีผลงานดีเด่นจะต้องประกาศลงในเว็บไซต์เพื่อรับฟังคำคัดค้าน3 ระดับ คือ
 ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับหน่วยงานต้นสังกัดของข้าราชการครูในส่วนกลางและ
ระดับสำนักงาน ก.ค.ศ. จากเดิมที่จะกำหนดให้ประกาศขึ้นเว็บไซต์ในระดับหน่วยงาน
ต้นสังกัด และสำนักงาน ก.ค.ศ. ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางที่นายชินวรณ์ต้องการ
ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถเสนอชื่อตนเองให้สถานศึกษา หรือ
หน่วยงานพิจารณาเสนอชื่อเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ได้ 

"เมื่อมีการประกาศลงเว็บไซต์เพื่อรับฟังคำคัดค้าน หากมีผู้แสดงความคิดเห็นเข้ามาสำนักงาน
 ก.ค.ศ.จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาว่าเป็นเช่นไร ซึ่งจะเป็นผลดีเพราะจะทำให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน 
นอกจากจะให้มีการคัดค้านในเว็บไซต์แล้ว ยังสามารถส่งคำคัดค้านมาทางไปรษณีย์อีกช่องทางหนึ่ง" 
เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า สำหรับหลักเกณฑ์ด้านอื่นๆก็เป็นไปตามมติ ก.ค.ศ. อาทิ คุณสมบัติ
ของผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกหรือขอรับการประเมินต้องเป็นไปตามที่กำหนด คือ มีคุณสมบัติ
ตามมาตรฐานวิทยฐานะ มีภาระงานสอนขั้นต่ำหรือภาระงานตามที่ส่วนราชการกำหนด ปฏิบัติ
งานตามหน้าที่และความรับผิดชอบย้อนหลัง 2 ปีและมีผลงานดีเด่นที่ประสบความสำเร็จเป็นที่
ประจักษ์ เช่น เป็นผลงานที่ได้รับรางวัลสูงสุดระดับชาติขึ้นไป หรือเป็นผลงานที่ส่วนราชการ
ต้นสังกัดพิจารณาแล้วเห็นว่าเทียบเคียงกับผลงานที่ได้รับรางวัลระดับชาติขึ้นไป หากจะยื่นขอ
ให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษจะต้องมี 2 รางวัล ส่วนวิทยฐานะ
เชี่ยวชาญพิเศษ จะต้องมี 3 รางวัล โดยรางวัลดังกล่าวต้องอยู่ภายในระยะเวลา 3 ปี แต่หาก
เกินเวลาที่กำหนดต้องมีการพัฒนางานและใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม 
สำนักงานก.ค.ศ.จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ 

รายงานข่าวแจ้งว่า ข้าราชการครูที่มีผลงานดีเด่นระดับชาติแต่ละปีนั้น มีจำนวนเยอะประมาณ 
1,000 คน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะผ่านการประเมินและได้เลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและ
เชี่ยวชาญ ต้องดูด้วยว่ารางวัลที่ได้นั้นสอดคล้องกับผลการปฏิบัติงานในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งเดิมมี
การเสนอว่าเมื่อข้าราชการครูกลุ่มนี้ มีรางวัลการันตีแล้ว ก็ควรให้เลื่อนวิทยฐานะได้เลย 
แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะต้องมีการประเมินด้วย 





แหล่งที่มา :  http://www.matichon.

http://www.kruthai.info/main/board03_/showss.php?Category=newsedu&No=253


เห็นใจผู้ส่งใหม่เนาะ  



23 เมษายน 2554

ทุนฟุลไบร้ท์สำหรับผู้อำนวยการ และหัวหน้ากลุ่มสาระฯต่างๆที่มีความฝัน อายุไม่เกิน 50 ปี

ช่วงนี้ มีทุนฟุลไบร์ท์สำหรับผู้อำนวยการโรงเรียนและครูหัวหน้า
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีไฟอยู่  8 ทุน สำหรับไปสัมมนาด้านการบริหาร
การศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 สัปดาห์ 
ช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2554 ถ้าท่านอายุไม่เกิน 50 ปี 
 เราขอสนับสนุนให้ท่านสมัครเข้าร่วมโครงการเต็มที่เลย
สมัครตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 

ใบประกาศทุน
โครงการสัมมนาและแลกเปลี่ยนสำหรับผู้อำนวยการและหัวหน้ากลุ่มสาระ
Educational Seminars Program (ESP)

รัฐบาลสหรัฐฯ ร่วมกับมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์)[1] กำลัง
เปิดรับสมัครชิงทุน Educational Seminars Program ประจำปีการศึกษา 
2554 ที่เปิดโอกาสให้ผู้อำนวยการโรงเรียนและหัวหน้ากลุ่มสาระ 8 กลุ่มวิชา
ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาจำนวน 8 ทุน ไปร่วมสัมมนาด้านการบริหาร
การศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ระหว่างเดือนตุลาคม –
 พฤศจิกายน 2554 เพื่อพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพความรู้ความสามารถ
และทักษะด้านการสอน สื่อการเรียนการสอน การพัฒนาแผนการสอน 
ระบบการจัดการในห้องเรียนและเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้
ในการศึกษา เพื่อพร้อมรับความเป็นสากล ร่วมกับบุคลากรด้านการศึกษา
ชาวอเมริกัน โดยโรงเรียนของอาจารย์ผู้รับทุนจะต้องรับเป็นโรงเรียน
เจ้าภาพแก่คู่แลกเปลี่ยนผู้บริหารชาวอเมริกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ในเดือน
กรกฏาคม 2555 (วันที่รอการยืนยัน) โดยผู้รับทุนสามารถวางแผนการศึกษา
ดูงานร่วมกับคู่แลกเปลี่ยนและโรงเรียนได้ตามความเหมาะสม เช่น 
เป็นผู้ช่วยสอน ร่วมวางแผนพัฒนาหลักสูตร เยี่ยมชมโรงเรียนใกล้เคียง
และสถานที่สำคัญในชุมชน

โครงการนี้เปิดรับสมัครตั้งแต่เดือน มีนาคม – มิถุนายน ของทุกปี

ผู้สมัครต้องเป็นอาจารย์สังกัดโรงเรียนมัธยมศึกษา
ที่มีคุณสมบัติดังนี้
· เป็นคนไทย อายุไม่เกิน 50 ปีในวันที่ปิดรับสมัคร และอาศัยอยู่ในประเทศไทย
· เป็นคุณครูหัวหน้ากลุ่มสาระ 8 กลุ่มวิชาในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งก่อนไปและหลัง
จากสิ้นสุดการรับทุนและประสบการณ์การสอน 5 ปีขึ้นไป ต้องดำรงตำแหน่งทั้งในช่วง
ที่สมัครและหลังจากที่เสร็จสิ้นการรับทุน
·มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป
· มีความสามารถทางภาษาอังกฤษดี สามารถร่วมอภิปรายกับอาจารย์ชาวอเมริกัน
อย่างเต็มที่และเข้าร่วมทุกกิจกรรมได้ตามกำหนดการ
· ต้องได้รับอนุมัติจากหน่วยงานตันสังกัดให้ลาเพื่อเข้าร่วมโครงการเป็นระยะเวลา 
3 สัปดาห์
· โรงเรียนของคุณครูผู้รับทุนต้องรับเป็นโรงเรียนเจ้าภาพรับอาจารย์ชาวอเมริกัน
เป็นเวลา2 สัปดาห์ในเดือน กรกฏาคม 2554
·  กำลังดำเนินการสอนหนึ่งในวิชาดังกล่าวและจะต้องมีความรู้ ทักษะ เจตคติที่ดี
ต่อการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีประสิทธิภาพอันจะส่งผลถึง
การพัฒนาทักษะการคิดของนักเรียนเป็นสำคัญ
· เป็นผู้ที่ไม่เคยรับทุนฟุลไบรท์

 คุณครูที่สนใจสมัครชิงทุนสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและข้อมูลเพิ่มเติม
จากเว็บไซต์ของมูลนิธิฯที่ www.fulbrightthai.org  และต้องส่ง
ใบสมัครที่กรอกสมบูรณ์พร้อมติดรูปถ่าย พร้อมทั้งแนบหนังสือ
อนุมัติจากผู้อำนวยการ หนังสือรับรอง หลักฐานการศึกษา 
ประวัติย่อ ทรานสคริป พร้อมทำสำเนาใบสมัครและเอกสารทั้งหมด
จัดเป็นชุดเพิ่มอีก 4 ชุด รวม 5 ชุด (ห้ามใช้ลวดเย็บกระดาษ
 และไม่รับเอกสารนอกเหนือจากที่ระบุ) ไปยัง มูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน 
(ฟุลไบรท์) เลขที่ 21/5 อาคารไทยวา 1 ชั้น 3 ถนนสาทรใต้ กรุงเทพ 10120”
ภายในวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2554 หากมีข้อสงสัยประการใด
 กรุณาติดต่อ คุณชีวรัตน์ ที่โทร 02-285-0581-2 ต่อ 107

ใบสมัครที่ไม่สมบูรณ์จะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการพิจารณาทันที
ทุนนี้ไม่ใช่ทุนฟุลไบรท์และไม่รับผู้ที่เคยได้รับทุนฟุลไบรท์และทุน TEA 
     อย่างไรก็ดี ผู้ได้รับทุนนี้ สามารถสมัครทุนต่างๆ ของ
ฟุลไบรท์ได้ หากมีคุณสมบัติตามกำหนด



[1]  มูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ช่วยบริหารทุนนี้ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้ได้รับทุนจะไม่ถือว่าได้รับทุนฟุลไบรท์


22 เมษายน 2554

ชาวบ้านริมโขงเข้ากทม.ประท้วงลาวสร้างเขื่อนไซยะบุรี

ชาวบ้านริมโขงเข้ากทม.ประท้วงลาวสร้างเขื่อนไซยะบุรี

วันที่ 18/04/2554 14:29 (ผ่านมา 3 วัน 10 ชั่วโมง 23 นาที)

ชาวบ้านริมโขงเข้ากทม.ประท้วงลาวสร้างเขื่อนไซยะบุรี






ชาวบ้าน 8 จังหวัดริมน้ำโขง บุกสถานทูตลาว ค้านเขื่อนไซยะบุรี ก่อนวันตัดสิน 19 เม.ย. ขณะที่สื่อเวียดนามออกโรงวิจารณ์ขรม ด้านส.ส.มะกันออกแถลงการณ์ต้านด้วย...

วันที 18 เม.ย. นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ในวันนี้ ชาวบ้านประมาณ 100 คน จาก 8 จังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะเดินทางมากรุงเทพฯเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนไซยะบุรี แขวงไซยะบุรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่า หากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น จะเกิดผลกระทบใหญ่หลวงกับวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนและระบบนิเวศน์ของแม่น้ำโขง โดยในวันที่ 19 เม.ย.นี้ สำนักงานคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือเอ็มอาร์ซี (Mekong River Commission) จะจัดประชุมวาระพิเศษของคณะกรรมการร่วม (Joint Committee Special Session) 4 ประเทศ (กัมพูชา, ลาว, ไทย และเวียดนาม) ที่สำนักงานในนครหลวงเวียงจันทน์เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับโครงการนี้

นอกจากนี้ นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระแสการต่อต้านการสร้างเขื่อนไซยะบุรีกำลังรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยสื่อมวลชนของเวียดนามในหลายสำนัก ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การสร้างเขื่อนครั้งนี้ เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศท้ายน้ำ ซึ่งจะได้รับผลกระทบ และ ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา นายจิม เว็บบ์ ประธานอนุกรรมาธิการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ของสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการชะลอสร้างเขื่อนนี้ เพราะอาจส่งผลกระทบกับประชาชน 60 ล้านคน ที่พึ่งพาแม่น้ำโขง

"ในส่วนของประเทศไทยนั้น ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงต่างรู้สึกกังวลมาก เพราะหากมีการสร้างเขื่อนไซยะบุรีจริง จะทำให้ปลานับร้อยสายพันธุ์ต้องหายไป โดยเฉพาะปลาบึก ซึ่งว่ายจากตอนใต้ของลาวไปวางไข่บริเวณเชียงของทุกปี จะไม่สามารถว่ายผ่านเขื่อนไปได้อีก ขณะนี้รัฐบาลไทยยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ทั้งๆ ที่มีประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนครั้งนี้ ดังนั้น พวกเราจึงต้องเดินทางมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา โดยมีผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง" นายนิวัฒน์ กล่าว

ไทยรัฐออนไลน์ 
http://thairecent.com/Education/2011/845441/

21 เมษายน 2554

ดูแล้วก็ควรต้องดูอีก จะได้มีกำลังใจสู้ชีวิตและทำสิ่งดีๆต่อไป

108 Music สัมภาษณ์คุณ หนูดี "ดนตรีกับสมอง"

พระสุเมธาจารย์

วันนี้ ท่องเวบไปพบบทความเกี่ยวกับท่านพระสุเมธาจารย์  หรือ โรเบิร์ต สุเมโธ
ซึ่งเป็นพระฝรั่งบวชบำเพ็ญธรรมอยู่นานสายหลวงพ่อชา แห่งวัดป่าพงษ์  ถึงแม้
จะเป็นบทความที่ทีมงานอาทิตย์สุขสันต์เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2547 แต่ก็น่าสนใจ
จึงขอนำมาวางแปะไว้เ์ผื่อจะท่านจะสนใจอ่านเหมือนกัน


แสงสว่างในทางธรรม
พระสุเมธาจารย์
(โรเบิร์ต สุเมโธ)


แสงสว่างในทางธรรม
๏ ก่อนที่หลวงพ่อจะมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา คงเคยนับถือคริสต์มาก่อน ตรงไหนที่ทำให้เลื่อมใสพระพุทธศาสนา
     - พ่อแม่เราเป็นคริสต์ เรานับถือศาสนาแต่ไม่เอาจริงเอาจังด้วย อาตมาก็มีศรัทธาตั้งแต่เป็นเด็ก ก็ไม่ค่อยสงสัย บาทหลวง หรือพ่อแม่พูดอย่างไร ก็ไม่ค่อยสงสัย แต่พอตอนวัยรุ่นอายุ ๑๕-๑๖ ปี จึงเกิดความสงสัย มักจะถาม อยากจะรู้พระเจ้าเป็นอย่างไร มีหรือไม่มี แล้วมีประโยชน์อะไรที่จะทำอย่างนี้ต่อไป
     แล้วก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ออกจากบ้านไปอยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ ไปหาความสุขสนุกทางโลก ไม่เคยคิดเรื่องของพระพุทธศาสนาเลย จนกระทั่งได้พบพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น แล้วก็อ่านหนังสือ ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าอย่าไปเชื่อ ต้องทดลอง ต้องค้นคว้า ต้องเห็นเอง นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราศรัทธา
     หลังจากนั้นอายุ ๒๑ ปี เราก็มีศรัทธามั่นคง ศาสนานี้ก็ถูกใจเรามันมีทั้งปฏิบัติ มีทั้งพิสูจน์ได้ เห็นความจริงในใจเรา และเราไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้
๏ ตอนที่ไปเป็นทหาร มีเพื่อนที่นับถือพุทธศาสนาอยู่แล้วหรือเปล่า
     - สมัยนั้นไม่มีใครนับถือพุทธศาสนาเลย เพราะเมื่อ ๕๐ ปีก่อน คนอเมริกันที่เป็นรุ่นเดียวกัน ส่วนมากก็ไม่เคยมีใครสนใจศาสนา ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ หรือศาสนาอะไรก็ไม่สนใจ เบื่อแล้ว และก็ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มอยู่ด้วย คิดกันว่าศาสนาเป็นเรื่องสมัยโบราณ เป็นคนล้าสมัย ส่วนมากจะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว
     แต่เราก็สงสัยหลายอย่างในวิทยาศาสตร์ด้วย (หัวเราะ) วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ลึกซึ้ง พอสงสัยว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร เรื่องวิทยาศาสตร์ของตะวันตก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องภายนอก
๏ เหตุผลที่คนตะวันตก ให้ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
     - ส่วนมากชาวตะวันตก ให้ความสนใจในด้านการปฏิบัติ เพราะเราหาในวัฒนธรรมในศาสนาของเราไม่เจอ แต่เดี๋ยวนี้โลกมันคับแคบแล้ว เอเชียกับยุโรปก็ไม่ห่างไกลกันเท่าไรนัก
     เมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว เราสังเกตดูความคิดของชาวต่างประเทศ กำลังจะเปลี่ยนไปบ้าง ศรัทธาในวิทยาศาสตร์มันกำลังจะเสื่อม ศรัทธาในพุทธศาสนาก็จะเสื่อมด้วย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัฒนธรรมญี่ปุ่นกับวัฒนธรรมอเมริกา มีการแลกเปลี่ยนกันมาก สิ่งที่เราได้รับจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นคือพุทธศาสนา
     ส่วนมากเรามีความคิดสองอย่าง ดีชั่ว ถูกผิด เท่านั้นที่จะพิจารณาได้ และพระพุทธเจ้าสอนให้ใช้สติสัมปชัญญะ ที่จะเห็นสัจธรรม และทางวัฒนธรรมของเรา ในศาสนาคริสต์ไม่มีใครพูดถึง
     สติสัมปชัญญะด้วยนั่นเป็นเรื่องเชื่อถือ เรื่องเหตุผล เรื่องอุดมคติ ทำให้เรามีความยึดมั่นถือมั่นในอุดมคติสูง และที่จะเข้าใจการเป็นมนุษย์จริง ซึ่งไม่มีใครรู้ นี่ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องรู้การเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร คบคิดว่าการเป็นมนุษย์ต้องรู้ตัวเอง ต้องรู้โลภ โกรธ หลงเป็นอย่างไร ว่ามันเกิดที่ไหนดับที่ไหน
     พุทธองค์บอกให้เราเห็นผลของการทำความดี ว่าจะได้ผลอย่างนี้ ถ้าทำไม่ดีก็ได้ผลอย่างนี้ เราจะเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าเราจะเพิ่มความสุขควรทำอย่างไร ถ้าเราอยากเพิ่มความทุกข์ควรทำอย่างไร แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นหลักธรรมที่เราไม่เห็นในวัฒนธรรมและศาสนาทางตะวันตก
๏ สังคมทางตะวันตกมีความเจริญทางเทคโนโลยีสูง จำเป็นขนาดไหนที่พวกเขาต้องหาที่พึ่งทางจิตใจ
     - ก็มีการปฏิบัติก็เป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ยิว ศาสนาสามอย่างนี้มันเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้า และก็เป็นศาสนาที่เรามีเรื่องพระเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็มีคำสอนเริ่มต้นที่อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เราเห็นได้ในปัจจุบันคือความทุกข์ เราจะเห็นความทุกข์ของเราได้นี่ต้องเชื่อโดยการพิสูจน์ และเราก็จะสามารถเห็นนิพพานได้
     นี่ก็เป็นที่มาของคริสต์กับพุทธซึ่งตรงกันข้าม คริสต์เริ่มต้นที่พระเจ้า จุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาก็พระพุทธเจ้ามองเห็นความทุกข์ของมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่จะพิจารณาในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็จะเห็นพระเจ้าได้
     ถ้าคิดแบบคริสต์ก็เห็นทางพ้นทุกข์ได้ เราก็คิดว่าการปฏิบัติเกิดจากการเชื่อถือพระเจ้า แล้วก็ถ้ามีศรัทธาและเชื่อถือในคำสอนของพระเจ้าก็จะมีคนดีเหมือนกัน มันก็แล้วแต่บุคคลเป็นอย่างไร
     แม่ของอาตมาเป็นชาวคริสต์ ไม่สงสัยเรื่องศาสนา แม่สงสัยไม่ได้เลย และก็ได้ผลดีด้วย (หัวเราะ) แต่ท่านก็สามารถแก้ปัญญาได้ด้วยความศรัทธาในพระเจ้า แม่ก็เป็นคนอย่างนั้น แต่ลูกชายก็เป็นคนตรงกันข้ามเป็นชาวพุทธ (หัวเราะ)
๏ สังคมของคนตะวันตกเป็นคนขี้สงสัย ช่างซักถาม แล้วยากไหมที่เราจะไปเผยแพร่ให้เขาเข้าใจ
     - ก็ไม่ยากเท่าไร ก็มีคนสนใจมากในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา ปัจจุบันชาวตะวันกำลังสนใจวัตถุนิยมกันมาก ตอนนี้คนกำลังดูจิตพิจารณาตัวเองเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศกำลังทำอยู่ที่อเมริกา ซึ่งมีประโยชน์มาก แล้วก็เราอยู่อังกฤษ ๒๖ ปีแล้ว เราก็สังเกตเห็นคนที่สนใจมากขึ้น คนที่ปฏิบัติแล้วได้ผลที่จะเห็นทางก็มีมากขึ้น
     คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทำให้เราทึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่จะพิจารณาให้เราเห็นจิตใจ ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ ที่จะปล่อยวางไม่ให้เกิดความสงสัยได้ เมื่อมีความสงบแล้ว ก็จะเห็นถึงความสงบในจิตใจของเรา อย่างแท้จริง และจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย ซึ่งสังคมในตะวันตกความสงบไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เขาก็อยากได้สันติภาพมาเป็นความสงบ
ครั้งเรียนธรรมกับหลวงพ่อชา

     "การปฏิบัติของเราที่หลวงพ่อชาสอนในสมัยก่อน ที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลฯ เราก็นึกถึงแต่หลวงพ่อชานี่ ก็เป็นความจำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อชา ก็ได้ผลในเรื่องของการปฏิบัติ เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่จะแนะนำทางที่จะปลดทุกข์ได้ แรกๆ เราก็อยู่กับหลวงพ่อชา ปี ๒๕๑๐ ตอนนั้นเราไม่รู้ภาษาไทย และภาษาอีสาน ท่านหลวงพ่อก็เทศน์เป็นภาษาอุบลฯ แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง
     "แรก ๆ ก็นั่งฟังหลวงพ่อท่านเทศน์หลายชั่วโมง ด้วยความที่เราเป็นพระฝรั่ง เราจึงขอว่าช่วงที่หลวงพ่อเทศน์นั้นเราจะกลับกุฏิ ไปทำสมาธิในกุฏิดีกว่า แต่หลวงพ่อไม่อนุญาต บอกว่าต้องอยู่ต้องอดทนฟังเทศน์ ท่านก็บังคับให้ให้อยู่
     "อารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตของเราเอง แทนที่จะยอมเพราะเรื่องภาษา ก็เป็นอุปสรรค อาจารย์ชาก็พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น พระสุเมโธก็พูดภาษาไทยไม่เป็น หลวงพ่อชาจะสอนพระฝรั่งอย่างไร แต่ท่านก็มีอุบาย มีความสามารถที่จะให้เราพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น และท่านบอกว่าพระสุเมโธความอดทนมันน้อยไป เป็นคนอเมริกัน วัฒนธรรมอเมริกัน เป็นวัฒนธรรมที่ชอบทำอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่คนที่อดทนต่ออะไร และท่านก็บอกว่า พระสุเมโธไม่เข้าใจภาษาไทยก็ไม่เป็นไร แต่ให้อดทนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น
     "เบื่อแล้วก็เกิดอารมณ์โกรธ โมโหอย่างนี้ แล้วก็เราก็คิดแบบคนอเมริกันด้วย สงสารตัวเองว่าเราเป็นฝรั่งไม่รู้ภาษา หลวงพ่อชายังจะให้เราอยู่ ไม่เห็นใจเรา แล้วตอนนั้นนั่งพับเพียบไม่ค่อยได้ ด้วยความที่เราไม่เคยนั่งอย่างนี้ จึงทำให้เจ็บปวดอย่างแรงที่สุด จึงอยากเปลี่ยนท่านั่ง
     "พิจารณาในอารมณ์ แล้วทราบความทุกข์กับชีวิตของเราได้ ที่กุฏิครั้งแรกกุฏิที่อยู่วัดหนองป่าพง พระไทยสมัยนั้นก็ไม่สูงเท่าไร นิยมสร้างเตี้ยๆ และไม่มีพระฝรั่ง เราต้องก้มตัวลง ยืนตรงไม่ค่อยได้ เวลาเข้าประตูก็ต้องก้ม เสร็จแล้วก็เกิดอารมณ์รังเกียจกุฏิหลังนั้น บ้างก็อยากได้กุฏิสูงกว่านี้ แล้วไปหาหลวงพ่อบอกว่ากุฏิมันเตี้ยเกินไป อยู่ยาก มันโดนศีรษะ มันอันตราย และเรารู้สึกไม่สบายใจ อยากอยู่กุฏิอื่น
     "หลวงพ่อไม่ให้เรา พอพิจารณาแล้วว่ากุฏิพอที่จะกันแดดกันฝนได้ กุฏิเตี้ยนั้นพออยู่ได้ก็ดีแล้ว ถ้าพิจารณาโดยปัญญาอย่างนี้ก็พอใช้ได้ ถ้าพิจารณาแบบคนอเมริกัน ตามวัฒนธรรมของคนอเมริกาว่าเตี้ยเกินไป เล็กเกินไป ไม่เหมาะไม่ชอบกุฏิหลังนี้ก็จะมีความทุกข์อยู่ ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่
     "เรื่องอาหารก็เหมือนกัน หลวงพ่อท่านชอบทรมานลูกศิษย์ เรื่องอาหารญาติโยมก็นำมาถวาย แล้วหลวงพ่อก็ให้เทใส่กะละมังใหญ่ เป็นปลา เป็นไก่ เป็นหมู ทุกอย่าง แล้วก็ผสมกัน จะมีข้าวเหนียวมีอาหารอีสาน มีรสแปลกๆ ที่เราไม่เคยชิม เราก็เลยเกิดอารมณ์รังเกียจอาหารด้วย มันไม่อร่อยมันไม่คุ้นเคย แล้วก็มีของหวานที่โยมนำมาถวายผสมกันหมดเลย มันทำให้การทานอาหารลำบาก แล้วก็มีความทุกข์เกิดขึ้น
     "ความจริงพระพุทธเจ้า สร้างวินัยให้พระรับอะไรก็ได้ ไม่ใช่แต่สิ่งที่ชอบ หรือเป็นอาหารของเศรษฐีที่เอร็ดอร่อย แต่ให้คิดว่าอาหารที่ให้ทานมานั้น เป็นอาหารที่บริสุทธิ์ ให้พิจารณาอย่างนี้ และอาหารที่มีอยู่ในบาตรนั้นก็ดีแล้ว พอที่จะรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีด้วย
     "เรื่องอาหารของอเมริกา เปรียบเทียบกับอาหารที่มีอยู่ในวัดหนองป่าพงนั้น เราก็คิดว่าอาหารของอเมริกาดีกว่าอร่อยกว่า อาหารที่วัดหนองป่าพงก็แย่ ไม่อร่อยเลย นั่นก็เป็นความคิดความเห็นที่เกิดขึ้น ทำให้เรามีความทุกข์ พิจารณาด้วยปัญญาเราก็จะเห็น และปล่อยความคิดแบบนี้ได้ เราก็จะสามารถฉันอาหารได้ ด้วยสติด้วยปัญญา
     "เมื่อ ๒๖ ปีมาแล้ว ตอนนั้นโยมได้นิมนต์ไปอยู่ประเทศอังกฤษ แล้วเราก็อยู่จนเคยแล้ว อยู่วัดป่าพง วัดป่านานาชาติมากว่า ๑๐ พรรษาแล้ว แล้วก็เปลี่ยนแปลงร่างกายใจ ให้เข้ากับพระไทยในสมัยนั้น ตอนนั้นที่ไปอยู่อังกฤษกับหลวงพ่อเราก็สงสัยว่า เราจะรักษาวินัยได้ไหม ในอังกฤษไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วเราจะอยู่ในลอนดอนอย่างไรถ้าไม่มีเงินจะใช้ แล้วคนอังกฤษจะเข้าใจอย่างไร เป็นคนแปลก ศีรษะอย่างนี้(จับศีรษะ) มีจีวรอย่างนี้ เดินวิบากในกรุงลอนดอน จะเข้าใจความประสงค์ของเราอย่างไร เราก็สงสัยอย่างนี้
     "แล้วเราก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อถ้าไม่มีใครจะใส่บาตร ไม่มีใครจะถวายปัจจัย ๔ เราจะอยู่ได้อย่างไร อาจารย์ก็ตอบอย่างดีว่า คนตะวันตกไม่มีเมตตา เราก็ว่ามีเมตตาเหมือนกัน และอาจารย์บอกว่าเราต้องอยู่ได้ เพราะชาวพุทธมีอยู่ทั่วโลก และชาวพุทธเป็นคนดี เราต้องอาศัยความดี ท่านก็อยากให้เราพิจารณาในความเป็นมนุษย์ ว่าเป็นอย่างไร
     "ในประเทศอังกฤษ อเมริกาคนใจดีก็มีมาก คนมีเมตตาก็มี ท่านก็อบรมเราอย่างนี้ หลวงพ่อชาก็เก่งนะทั้งที่ท่านไม่เคยไปอเมริกา ไม่รู้ว่าอังกฤษเป็นอย่างไร อยู่เมืองไทยตลอด แต่ท่านก็รู้ในเรื่องของสัตว์มนุษย์เราว่าเป็นอย่างไร เราก็ไปอยู่อังกฤษ ๒๖ ปี ก็ดีเหมือนกัน ไม่อดอาหาร ที่อยู่อาศัย ผ้าจีวรก็สมบูรณ์ดี เราไปอยู่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร เรื่องสิ่งจำเป็น..."
๏ มีจำนวนมากไหมที่ตัดสินใจบวช
     - ก็ไม่มากเท่าไร แต่ก็มี พระแม่ชีอยู่ตะวันตกก็ไม่เหมือนกับอยู่ในเมืองไทย อยู่เมืองไทยตามวัฒนธรรม บวชเป็นพระแล้วคนจะเคารพ (หัวเราะ) อยู่เป็นพระในเมืองนอกคนอังกฤษก็เยาะเย้ย จะดูว่าเป็นคนแปลกๆ ที่จะห่มผ้าอย่างนี้ โกนหัวอย่างนี้ (หัวเราะ) ต้องเป็นคนที่มีศรัทธาจริงๆ จึงจะบวชได้
๏ หลวงพ่อมีวิธีการเผยแพร่ศาสนาอย่างไร ในโลกตะวันตก
     - ในประเทศอังกฤษ ก็มีสมาคมพุทธที่ลอนดอน ตั้งมาเป็น ๘๐ ปี แล้ว ก็จะมีวัดของเรา แต่วัดที่ประเทศนอกจะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่จะมีอยู่ในหมู่บ้านทั่วประเทศ และที่อังกฤษมีวัดอมารวดีเป็นวัดใหญ่ ให้คนที่สนใจมาฝึกกรรมฐานที่นั้นได้ และทุกวันเสาร์จะมีคนที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติมาปฏิบัติ อย่างพวกข้าราชการ คนที่ทำงานประจำ และมีความเลื่อมใสมาให้ความสนใจ และเราก็จัดทำเอกสารส่งไปยังผู้ที่ให้ความสนใจ ก็จะมีคนไทย คนเขมร คนลาว คนศรีลังกาที่อยู่ลอนดอน มาฝึกปฏิบัติที่วัดของเรา ในวันพระและวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมีคนไทยมาทำบุญที่วัด แต่คนฝรั่งก็มาทำบุญเป็นบางคน เพราะยังไม่เห็นประโยชน์ในเรื่องของการฝึกสมาธิ
๏ คนไทยกับคนตะวันตกมีแนวความคิดเรื่องต่างๆ แตกต่างกัน อย่างไร รวมทั้งเรื่องของพระพุทธศาสนา
     - ชาวไทยก็จะมีวัฒนธรรม มีพระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์ ทำให้มีปัญญาอยู่ในวัฒนธรรมเอง เดี๋ยวนี้ก็เห็นว่า คนไทยอยากจะเรียนศึกษา แบบวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น (หัวเราะ) บางทีก็ไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมของตนเองบ้าง แต่ในที่สุดแล้วก็ได้พบคนไทยที่อยู่เมืองนอก เห็นอยู่เมืองนอกหลายปี เห็นความคิดว่าตะวันตกดีกว่า
     ทุกวันนี้คนไทยที่สนใจที่จะฝึกสมาธิมีมากขึ้น เมื่อ ๓๐ ปีมาแล้ว หลวงพ่อชาก็เห็นว่าคนไทยมีแต่ทำบุญเท่านั้น ไม่ค่อยปฏิบัติ แต่ทุกวันนี้เราอยู่กรุงเทพฯจะมีคนไทยมาหาทุกวัน
     ถ้าตะวันตกแล้ว เราไม่เห็นปัญญาที่เกิดจากการเข้าใจพระธรรม ส่วนมากวัฒนธรรมของเรามันจะต่าง คือมีความคิดเรื่องการเมืองสูง อยากเป็นประชาธิปไตย อยากได้เสรีภาพมันเป็นสิ่งสูงสุด ที่อยู่ในความคิดของคนเหล่านั้นได้ การยึดถืออุดมคติสูงก็พอมีบ้าง แต่ไม่ดีเท่าไร มันทำให้เราดูหมิ่นตัวเอง ไม่ค่อยมีความมั่นคงในใจ ศรัทธาไม่ค่อยมีเท่าไร มีแต่อารมณ์สงสัยมีอารมณ์ทิฐิ ทำให้มีอารมณ์สับสน วุ่นวายมากขึ้น
๏ มีหลักการสนทนาธรรมอย่างไรไม่ให้น่าเบื่อ
     - สิ่งที่ไม่น่าเบื่อคือต้องเตือนตัวเอง ถ้าเบื่อก็เตือนว่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างไร ก็มีสติที่ให้เรามีศรัทธา และก็มีความพากเพียรในการปฏิบัติ และก็พิจารณาว่าในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร เราต้องรู้ในร่างกายมีจิตใจในปัจจุบัน นี่เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ อย่าไปรังเกียจ ก็ต้องรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ และก็มีลมหายใจในปัจจุบันนี้ ความเจ็บปวดในปัจจุบัน
     ให้เราพิจารณาปัจจุบัน เพื่อจะมีอารมณ์เป็นอย่างไร มีความสุขในปัจจุบัน หรือมีความทุกข์ในปัจจุบัน และก็เห็นอย่างนี้แล้ว ก็สามารถเห็นสิ่งที่ผ่านมาตลอดทั้งชีวิตได้ ทำอะไรเราก็จะไม่รู้สึกเบื่อ
๏ หลวงพ่อพูดภาษาไทยได้อย่างไร
     - เคยอยู่กับพระไทยมาหลายปี ที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น เพื่อที่จะบังคับให้พูดภาษาไทย ภาษาอีสาน ตอนแรกก็อยู่กรุงเทพฯ แล้วก็พูดไทยไม่เป็น เพราะเราก็อยู่กับฝรั่งและคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษ เราขี้เกียจเรียนภาษาไทย แต่เมื่อไปอยู่อีสานอยู่วัดป่าที่นั่น พระที่นั่นพูดอังกฤษไม่ได้เลย เราต้องบังคับตัวเอง เพราะอยากจะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก นี่ก็เป็นทริกที่บังคับเราให้เรียนภาษา
๏ ปัจจุบันสภาพสังคมของประเทศไทย กำลังเฟื้องฟู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงการพนัน ที่กำลังถูกพลักดันให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย หลวงพ่อเห็นว่าอย่างไร
     - (หัวเราะ) การพนันนี้มันเป็นอันตราย และก็พระพุทธเจ้าก็คงจะไม่สรรเสริญไม่แนะนำให้เราทำ แต่เรื่องศีลห้าก็เป็นหลักฐานในการกระทำของเราด้วย ให้เราพิจารณาในศีลซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะช่วยตัวเองได้ ช่วยให้สังคมมีความเจริญในทางที่ดีต่อไป
     ทุกวันนี้ก็มีปัญหาเกิดขึ้นมากในเมืองไทย วัยรุ่นก็มีการติดยาจำนวนมาก กินเหล้า จนกระทั่งสติปัญญาไม่ค่อยเห็น จนกลายเป็นโทษต่อไป จนกลายเป็นปัญหาของตัวเองและสังคมด้วย แต่ถ้าคนไทยมีความคิดที่ดี มีความเป็นมนุษย์ที่ดีซึ่งมีอยู่แล้วในวัฒนธรรม ไม่จำเป็นต้องไปหาในเมืองนอก และพุทธศาสนาก็มีอาจารย์หลายรูป หลายองค์ หลายคน ที่จะอบรมสอน คนในสังคมให้ดี แต่ให้ระวัง (หัวเราะ) ในสิ่งที่กำลังจะเห็น สิ่งที่กำลังจะเจริญขึ้นด้วย คือเรื่องการพนันที่กำลังจะเป็นสิ่งถูกกฎหมาย อาตมาก็สงสัยเรื่องนี้มาก มันคงจะสร้างปัญหาอีกมาก และเป็นปัญหาในสังคมแน่
๏ วัยรุ่นของไทยที่ไปอาศัยอยู่ทางตะวันตก ให้ความสนใจในพระพุทธศาสนามากแค่ไหน
     - ไม่ค่อยมี เพราะวัยรุ่นไม่ค่อยสนใจ จะมีบ้าง เป็นบางคน
๏ มีคำแนะนำใด ที่ทำให้วัยรุ่นพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยการหันมาสนใจในพระพุทธศาสนา
     - ต้องเอาใจใส่วัยรุ่น เราต้องยอมรับ และต้องเข้าใจว่าวัยนี้เป็นอย่างไร เพื่อจะรู้จิตใจเป็นอย่างไร ให้เรารู้แล้วก็ยอมรับวัยรุ่นเป็นอย่างนี้ ก็จะเกิดศรัทธากับเราได้ ถ้าเราพูดแบบพ่อแม่ แบบผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้วัยรุ่นไม่อยากฟังแล้ว ถ้าพูดแบบอาจารย์สอนลูกศิษย์วัยรุ่นก็ไม่อยากฟังแล้ว
     ถ้าเราฟังความเห็นความประสงค์ของวัยรุ่น ถ้าเราไม่ได้พิจารณาไม่ได้สนใจ ความคิดของเขา ความศรัทธาก็คงจะไม่เกิดขึ้น เราไม่ต้องไปบอกว่าต้องเชื่ออย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เราไม่ต้องไปบอกอย่างนี้ เราจะแนะนำเราต้องรู้ว่าเขาสงสัยอะไร โกรธอะไร แนะนำให้เขาพิจารณาตัวเอง เสมือนเราเป็นเพื่อนของเขา เราสนใจเขา มันจะเป็นประโยชน์มาก เพราะวัยรุ่นทางตะวันตกนี้แยกออกจากผู้ใหญ่มาก ไม่อยากเกี่ยวข้อง วัยรุ่นชอบสนทนากับวัยรุ่นเท่านั้น ไม่อยากฟังผู้ใหญ่ ส่วนมากผู้ใหญ่ก็จะพูดบอกต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทำให้เขาไม่อยากฟัง
๏ ปีเก่ากำลังจะผ่านไป ขอให้หลวงพ่อให้ข้อคิดกับคนที่ท้อแท้ผิดหวังในชีวิต เพื่อให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง
     - สิ่งที่ผิดหวังในชีวิตก็เพราะเขาไม่เคยพิจารณาว่า ชีวิตของเขาเป็นอย่างไร ส่วนมากก็แข่งขันกันในสังคม ได้สิ่งที่อยากได้ บางทีก็แข่งขันไม่เก่งจึงไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผิดหวังฆ่าตัวตาย แสดงว่าเขายังไม่เห็นตัวเอง ผิดหวังไม่สมหวังทางโลก ชีวิตของเราไม่มีประโยชน์แล้วฆ่าตัวตาย ถ้าเรามีความเห็นแก่ตัวเกินไปจะทำให้ผิดหวังในชีวิต คิดว่าชีวิตของเราไม่มีประโยชน์ ไม่มีคนที่เรารัก ไม่มีจุดหมายปลายทางที่เป็นประโยชน์ เราไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ทำให้เราฆ่าตัวตาย
๏ อยากให้หลวงพ่อให้สติข้อคิดกับผู้อ่าน ในช่วงปีใหม่นี้ด้วย
     - ขอให้ปีใหม่นี้พิจารณาว่าชีวิตของเราเป็นอย่างไร ต้องถามตัวเอง มีประโยชน์อย่างไร เกิดมาทำไม ถามตัวเองในสิ่งเหล่านี้ ก็ชีวิตมนุษย์มันสั้นไป ถ้าเราคิดเรื่องความตายด้วย เราก็จะเห็นชีวิตของเราก็มีประโยชน์ พ้นจากความทุกข์เห็นทางอมตธรรม
     เราก็แบบเดียวกันกับพระพุทธเจ้าเราเกิดมา แล้วเราก็ตายไป แต่ระหว่างวันเกิดกับวันตาย ก็ยังมีวันตรัสรู้ที่เห็นธรรมได้ ในปีใหม่เราจะใช้ปีนี้เพื่อมีศรัทธามาเคลือบ และการรับผิดชอบในพระพุทธรรมของเราในสังคม และก็ต้องรู้ตนเองรู้จิตของตนเอง ด้วยสติปัญญา ...

ที่มา http://www.skyd.org/html/personage/02-Sumedho.html

19 เมษายน 2554

ทุนบุตรครู และบุคลากรทางการศึกษา

ด้วย มูลนิธิช่วยการศึกษาบุตรครูและบุคลากรทางการศึกษา  จะให้ทุนการศึกษา
แก่บุตรครูและบุคลากรทางการศึกษา  ประจำปี  2554  ซึ่งเป็นทุนให้เปล่า
โดยไม่มีพันธะ  และให้ติดต่อกันไปจนจบหลักสูตร  ตามรายละเอียด  ดังนี้

                   1.  ผู้กำลังเรียนจบหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
(ช่วงชั้นที่ 3)  ในปีการศึกษา  2553  ซึ่งจะเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 
(ช่วงชั้นที่ 4)  ในปีการศึกษา 2554 จังหวัดละ  1  ทุนๆละ  3,000  บาท  ตามประกาศ
มูลนิธิช่วยการศึกษาบุตรครูและบุคลากรทางการศึกษา  เรื่อง การให้ทุนการศึกษา
ช่วงชั้นที่  4  มัธยมศึกษาตอนปลาย  ปีการศึกษา  2554
                   2.  ผู้กำลังเรียนจบหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ช่วงชั้นที่ 4)  
ในปีการศึกษา  2553  ซึ่งจะเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี  ในปีการศึกษา  2554  
รวม  5  ทุนๆละ  10,000  บาทตามประกาศมูลนิธิช่วยการศึกษาบุตรครูและบุคลากร
ทางการศึกษา เรื่อง การให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี  ปีการศึกษา  2554
                   ในการนี้  ขอให้ท่านประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาในสังกัดทราบโดยทั่วกัน  หากมีผู้ประสงค์ขอรับทุนฯ  ให้ส่งแบบขอรับทุนฯ
(แบบ มค. 1)พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง  มายังกลุ่มอำนวยการ  สำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์  เขต  2  ภายในวันที่  27  เมษายน  2554  
ไม่เกินเวลา  12.00 น.  เพื่อจะได้รวบรวมส่งสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและ
สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาจังหวัดสุรินทร์ต่อไป

ที่มา สพท.สร.2

18 เมษายน 2554

• "ยุบ สทศ. สมศ..." สมพงษ์ จิตระดับ ชำแหละนักเรียนสอบตกโอเน็ต "ยกสยาม"

ภายหลังการประกาศผลโอเน็ต หรือวิชาพื้นฐาน เอเน็ต ว่าเด็กไทยสอบตกทั้งประเทศ อีกทั้งวิชาที่สำคัญเป็นพื้นฐานคะแนนยังต้อยต่ำสุดๆ ไทยรัฐออนไลน์ หอบเอาความหวังไปถาม รศ.ดรสมพงษ์ จิตระดับ ถึงวิกฤติการศึกษาไทยทุกวันนี้ว่าใคร สิ่งไหน คือจุดอ่อนการศึกษาของประเทศไทย...


เกินกว่าคำว่า “น่าตกใจ” ภายหลังการประกาศผล โอเน็ต หรือวิชาพื้นฐาน เอเน็ต ว่าเด็กไทยสอบตกทั้งประเทศ อีกทั้งวิชาที่สำคัญเป็นพื้นฐานคะแนนยังต้อยต่ำสุดๆ

การออกข้อสอบยากมากเหมือนกับข้อสอบแข่งขันโอลิมปิก บางคำถามต้องตอบตัวเลือกให้ถูกถึง 2 ข้อถึงจะได้ 1 คะแนน ข้อสอบจากที่เคยเป็นปรนัยปีนี้กลายเป็นปรนัย-อัตนัยอย่างละครึ่งๆ แถมยังให้เวลาน้อยนิด

เด็กหลายคนเลือกทำอัตนัยแล้วทิ้งปรนัยคะแนนจึงลดลงเลย ประเด็นสำคัญที่โดนพูดถึงคือ การออกข้อสอบโดยอาจารย์สาธิต ซึ่งเป็นแนววิเคราะห์มาก ดังนั้นเด็กที่ไม่ได้เรียนสาธิตก็สอบตกหมด อาจารย์ไม่สนใจในการสอนเพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำภารกิจส่วนตัวเรื่องเลื่อนวิทยฐานะครู ทำให้คุณภาพการสอนในห้องเรียนไม่มี เด็กส่วนใหญ่ก็หันไปทุ่มเงินเรียนพิเศษ แต่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะมีเงิน

“ถ้าให้พูดตรงๆ ถ้าไม่เรียนพิเศษหนูและเพื่อนๆ ก็ไม่ติดหมอหรอก แต่ถามจริงๆ มันไม่มีเด็กคนไหนอยากเรียนพิเศษถ้าครูในห้องตั้งใจสอนไม่ได้กั๊กเอาไว้และแนะนำให้เราไปเรียนพิเศษปกติเรียนวันละ 8 ช.ม.ไปเรียนพิเศษถึง 2 ทุ่มกว่าจะกลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้านเสร็จ ตี 1 อึดๆ ทึกๆ เพื่อรับมือกับข้อสอบที่ออกมายากๆ โรงเรียนก็มีมาตรฐานไม่เท่ากัน เด็กก็รวยจนไม่เท่ากันเงินเรียนพิเศษก็ไม่มีแล้วกระทรวงศึกษา สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) ทำอะไรบ้างไหม ก็เปล่า...?”

เป็นคำพูดที่สะท้อนปัญหาของเหล่านักเรียนได้อย่างดี

ไทยรัฐออนไลน์ หอบเอาความหวังไปถาม รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงวิกฤติการศึกษาไทยทุกวันนี้ว่าใคร สิ่งไหน คือจุดอ่อนการศึกษาของประเทศไทย


Q : ในฐานะคนที่คลุกคลีด้านการศึกษามา ดูผลประกาศว่าเด็กสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศแล้วรู้สึกอย่างไร

A : จริงๆ มันตกร่วงมา 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการปฏิรูปรอบแรกกับปฏิรูปรอบนี้ แล้วผลที่ออกมาถามว่าสะท้อนอะไรผมมองว่ามันคือการวัดผลประเทศเรานี้ คือการสอบเป็นกระบวนการที่สอบแล้วไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไรประการแรกเลยเด็กจึงไม่ตั้งใจสอบ เพราะคิดว่าสอบไปทำอะไร ถึงสอบตกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญ สอบตกก็ไม่เลื่อนชั้น

อีกอย่างบ้านเรามันใช้วิธีการจับฉลากเข้าเรียนแล้ว การสอบมันเยอะเกินไป คืออย่างปีนี้ ตารางสอบโอเน็ตกับแกทแพทห่างกันไม่มาก คนจึงหันไปทุ่มกับแกทแพท เพราะเวลาเข้ามหาวิทยาลัยต้องใช้คะแนนนี้ถึง 50% ขณะที่โอเน็ตใช้เพียง 30% และเป็นข้อสอบที่มีเนื้อหาอยู่ในหลักสูตร ไม่จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชาเพิ่ม เฉพาะที่เรียนในห้องเรียนก็น่าจะทำได้เลยไม่ค่อยตั้งใจสอบคะแนนโอเน็ตในภาพรวมก็เลยออกมาต่ำ

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองก็คือว่าปีนี้ข้อสอบเปลี่ยนฉะนั้นเราจะเห็นว่าเด็กที่จะสอบภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ 3 ชั่วโมง 3 วิชา มันจะสอบภาษาไทยกับสังคม แล้วภาษาอังกฤษมันจะทิ้ง ทำให้คะแนนภาษาอังกฤษออกมาแบบที่เห็นก็คือตกมากมาย สทศ. เริ่มมีแนวข้อสอบที่หลากหลาย บางคำถามต้องตอบถูกถึง 2 ข้อถึงจะได้ 1 คะแนน ส่วนข้อสอบที่เคยเป็นปรนัยมาปีนี้กับปีที่แล้วกลายเป็นปรนัย-อัตนัยอย่างละครึ่งๆ แล้วก็จำกัดเวลา หลายคนจึงเลือกทำอัตนัยก่อนแล้วทิ้งปรนัยคะแนนจึงห่วยอย่างที่เห็น


Q : อาจารย์กำลังบอกว่าข้อสอบแปลกๆ ของ สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) ก็มีส่วนทำให้ผลลัพธ์ออกมาแบบที่คนช็อก คือสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศ...?

A : ใช่ เรื่องข้อสอบ ประเด็น กระบวนการสอบ เหล่านี้ก็มีผล แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่ามีผลคือกลุ่มคนที่ออกข้อสอบเป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิตทั้งหมด อาจารย์จากโรงเรียนอื่นๆ ไม่มีส่วนในการออกข้อสอบนะครับ เพราะฉะนั้นข้อสอบมันจึงยาก (เน้นเสียง) ข้อสอบเป็นลักษณะในเชิงวิเคราะห์มาก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรงเรียนสาธิต เด็กสาธิตจึงทำได้ไม่บ่น แต่เด็กโรงเรียนส่วนใหญ่ทั้งประเทศจะเน้นความรู้ความจำ เน้นเรียนจากหนังสือ ไม่เน้นวิเคราะห์ ข้อสอบที่ออกมาจึงมันขัดแย้งกับตัวเด็ก แล้วตัวผู้ออกข้อสอบนั้นก็ไม่ได้สอนเด็กส่วนใหญ่ของประเทศด้วย อันตรายมากๆ


Q : แล้วอาจารย์ที่ออกข้อสอบเหล่านี้ใครเป็นคนคัดเลือก

A : สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) กำหนดว่าต้องเป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิต ฉะนั้นกลุ่มผู้ออกข้อสอบกับเด็กที่สอบนี้ไม่ใช่ครูและนักเรียนโดยตรง อีกปัญหาหนึ่งที่เห็นจากการลงภาคสนามของผมมาตลอด ผมลงไปทำเรื่องสภาเด็ก ทำเรื่องเยาวชนมากมาย พวกเขาบอกว่าเด็กๆ กังวลมากว่าอนาคตข้างหน้า ครูบาอาจารย์จะทิ้งเด็กไม่สอนหนังสือ ไม่ทุ่มเท จ้ำจี้ จ้ำชัยเหมือนแต่ก่อน มัวแต่ไปทำเรื่องส่วนตัวกันหมด ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือที่ผ่านมาครูจะเจริญก้าวหน้าเงินเดือนสูงมาก แต่คุณภาพเด็กกลับตกต่ำ

ฉะนั้นการออกแบบเรื่องทำวิทยฐานะในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์ เป็นการหลงทางครั้งใหญ่ของประเทศ ทำให้ครูเนี่ยเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำเรื่องวิทยฐานะกันหมด จึงไม่มีคนใส่ใจคุณภาพเด็ก ผมถามว่าวันนี้เด็กตกกันทั้งประเทศยังไม่มีใครมารับผิดชอบ ไม่มีบทลงโทษ และผลที่เกิดออกมากับ สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) เวลาที่มันวัดผลเกิดขึ้นมาไม่ได้มีการเอาไปใช้ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพเด็ก ต่างคนต่างอยู่ต่างยึดกฎหมาย ยึดสถาบัน ยึดองค์กรตัวเอง "กูมีหน้าที่สอบกูก็สอบ กูมีหน้าที่ออกข้อสอบ เด็กมึงตกมันก็ไปรับผิดชอบกันเอง"

Q : ไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบที่ชัดเจน

A : ใช่ มีแต่ครูจะได้ซีเพิ่มขั้น แต่เวลาเด็กตกไม่มีใครมารับผิดชอบอะไรเด็กเลย

Q : หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าการออกข้อสอบแปลกๆ แบบนี้เกินหลักสูตรไปไหม


A : จริงๆ มันก็ไม่เกินหลักสูตรหรอก แต่ว่า มันเป็นข้อสอบที่ยากกว่าเด็กปกติ เป็นข้อสอบในเชิงวิเคราะห์ แต่ถ้ามองข้อสอบดีในเชิงวิเคราะห์ก็แปลว่าคนไทยได้คิดมากขึ้น

Q : แต่ว่าเราไม่ได้สอนเขาแบบนั้น


A : มันก็ไม่เป็นธรรม อาจารย์ที่ออกเขาเอามาตรฐานเด็กโรงเรียนสาธิต ให้คิดวิเคราะห์ทุกวันวิพากษ์วิจารณ์อะไรๆ มันฝึกตลอด พอคุณเอาวิธีวิธีการสอนเด็กกลุ่มหนึ่งมาวัดเด็กกลุ่มหนึ่งมันจึงไม่ยุติธรรม

Q : ทางแก้ไขคือ

A : ดีที่สุดก็คือ ยุบ สทศ. ยุบ สมศ. ไปเถอะรำคาญ คือเมื่อคุณวัดขึ้นมาแล้วมันไม่ใช่ประโยชน์ ถ้าวัดออกมาแล้วเครื่องมือไม่สอดคล้องและมันใช้งบประมาณมากก็ยุบไปเถอะเสียเงินเปล่าๆ

Q : การเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อยมีผลไหม

A : มีครับ มันทำให้ข้าราชการระดับสูงนี้ใส่ใจเรื่องคุณภาพ มันก็มัวแต่ตามนโยบายลมเพลมพัด นโยบายไฟไหม้ฟาง นโยบายของตัวเอง ฉะนั้นจึงไม่ทุมเท ก็ไปใส่ใจในตัวนโยบายเฉพาะกิจหรือนโยบายส่วนตัวของรัฐมนตรี คุณภาพเด็กที่ลงไปบริหารกับครูในโรงเรียนมันก็ลดน้อยลง

ความเอาจริงเอาจังก็มันหายไปเยอะ การตรวจราชการ การติดตามเอาใจใส่อะไรพวกนี้ ข้าราชการส่วนกลาง ดังนั้นผมเสนอให้มีการคาดโทษอย่างหนักกับคนทำให้ผิดพลาดแต่นี่ไม่มี ทั้งๆ ที่ผลออกมาเด็กสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศมันต้องรับผิดชอบกันทั้งกระทรวง แล้วผลออกมาใครรับผิดชอบ ไม่มี จริงๆแล้วผู้ใหญ่ต้องเป็นคนรับผิดชอบผมเสนอว่าทางออกคือต้องเอาผลการประเมินระดับโรงเรียนไม่ว่า สทศ. สมศ. และนำคะแนนเป็นตัวตั้ง มาจัดกลุ่มกัน กลุ่มนี้ต้องแก้ไขปรับปรุงมาก กลุ่มแก้ไข กลุ่มปานกลาง กลุ่มดี พอรู้ปัญหาก็ระดมคน สื่อการเรียนการสอบ อุปกรณ์ต่างๆ ลงไปช่วยเหลือเด็กห้องต่างๆ อย่างทั่วถึงและเป็นระบบ

2554 คำถามที่ต้องการคำตอบ เมื่อเด็กสอบโอเน็ตตกทั่วประเทศ...?

1.กระทรวงศึกษาธิการและผู้เกี่ยวข้องรู้ไหมว่าสาเหตุหลักที่เด็กสอบโอเน็ต หรือวิชาพื้นฐานตก เพราะวันนี้ในโรงเรียนเน้นทำการบ้านส่ง 70-80 % แต่ว่าการสอบจริงในห้องเรียนมีแค่ 20-30 % เท่านั้น คำถามก็คือวันนี้เด็กได้รับการฝึกฝนในการทำข้อสอบมาเพียงพอหรือเปล่า ถ้าไม่พอแล้วทำไมไม่เพิ่มเติม

2.คำถามก็คือ เมื่ออยากรู้ว่าครูมีคุณภาพไหมทำไมไม่เอาครูมาสอบเอ็นทรานซ์เทียบกับเด็กจะได้รู้ไปเลยว่าครูมีความรู้พอที่จะสอนหรือเปล่า ซึ่งมันจะสะท้อนได้ว่า ถ้าคุณครูคะแนนต่ำกว่าเด็ก 1.สถาบันผู้สอนต้องล้มเหลวแน่ ๆ 2.วิธีการสอนต้องล้มเหลวแน่ๆ 3.ถ้าเอาครูมาสอบเอ็นทรานซ์แล้วครูคะแนนไม่ดีมันก็ยืนยันความล้มเหลวแน่ๆ ดังนั้นจะได้รู้ว่าอะไรคือราก จุดอ่อนของการศึกษาเมืองไทยที่ล้มเหลวเสมอๆ เรื่องง่ายๆ แบบนี้ผู้มีส่วนรับผิดชอบทำอะไรบ้างหรือยัง

3.ทำไมนโยบายการศึกษาเรามักจะสนับสนุนให้คนเก่ง เรียนแพทย์ เรียนวิศวะแต่สนับสนุนให้คนไม่มีทางเลือกไปเรียนครู ซึ่งครูทำหน้าที่ผลิตครูก็คืออาจารย์ในสถาบันราชภัฏต่างๆ แล้วคนผลิตก็ไม่ฉลาด คนถูกผลิตก็ไม่ฉลาด ขบวนการผลิตก็ไม่ฉลาด แล้วกระบวนการจัดการเรียนการสอนก็ไม่ฉลาด ประชากรศึกษาที่มีความรู้ก็รู้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผู้มีส่วนรับผิดชอบทำอะไรบ้างหรือยัง

4.ทำไมไม่กำหนดก่อนว่าข้อสอบจะประเมินอะไรของเด็กที่จะเข้ามาเรียน เหมือนกับที่สถาบันศึกษาจากต่างประเทศที่มีการทดสอบที่มีประสิทธิภาพนักเรียนเพื่อจะได้รู้ทิศทางความถนัดและความชื่นชอบเพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กให้ถูกต้องและตรงทิศทาง

5..ย้อนหลังกลับไป 15 ปีที่แล้วมีการสอบเอ็นทรานซ์เพียงแค่ครั้งเดียว กล่าวคือสอบได้ก็ได้ สอบไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็ตก ไม่เหมือนวันนี้ที่ต้องผูกชะตาชีวิตเด็กขึ้นกับครู และระบบแอดมิดชั่นใช้เกรด+กับการสอบ และคำถามใหญ่สุดท้ายก็คือครูทุ่มเทใช้จิตวิญญาณสอนอย่างเต็มทีได้แค่ไหน…?


นี่คือคำถามเสี้ยวจากที่ไทยรัฐออนไลน์ประมวลมาจากผู้รู้มากมาย นอกจากต้องการคำตอบแล้ว ยังต้องการผู้รับผิดชอบเมื่ออนาคตของชาติสอบวิชาพื้นฐานตกทั้งประเทศด้วย...?


ที่มา ไทยรัฐ 11 เมษายน 2554
http://www.kroobannok.com/42754

+++++++========


ส่วนเรายังเห็นว่าน่าจะสืบค้นหาสาเหตุเพิ่มเติม  ที่ว่ามาข้างบนนี้ยังไม่เพียงพอหรอก  
มันต้องมีเหตุมากกว่านี้ที่ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึง...
แต่ที่แน่ๆ คือครูเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาอันดับ 1 ทุกครั้งอยู่แล้ว


เหมือนกับเวลามีเพลิงไหม้  จำเลยอันดับ 1 คือไฟฟ้าลัดวงจร นั่นเอง. 


พัฒนาการเรียนการสอน.

11 เมษายน 2554

การอบรมสัมมนาเลขานุการศูนย์แม่ข่ายจังหวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ)

 การอบรมสัมมนาเลขานุการศูนย์แม่ข่ายจังหวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
(ภาษาอังกฤษ)จะจัดขึ้นในวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2554  ณ โรงแรมเฟิสท์ กรุงเทพฯ   
                                                                                                           
 อ่านรายละเอียดได้ที่                                                                                
                                                                                                           
 http://www.labschools.net                                                                     
 

07 เมษายน 2554

O-NET ม.6 "คณิต-อังกฤษ" ตกรูด

นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)
 เปิดเผยว่า สทศ. ได้ประกาศผลสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ
ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ระดับชั้น ม.6 ประจำปีการศึกษา 2553 ทางเว็บไซต์
ของ สทศ. www.niets.or.th  เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ช่วงดึกของคืนวันที่ 5 เม.ย.
ที่ผ่านมา โดยเป็นการประกาศผลที่เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิม และเป็นไปด้วย
ความเรียบร้อยไม่มีปัญหาเว็บไซด์ล่ม 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สทศ.ได้รายงานค่าสถิติพื้นฐานทั่วประเทศ สำหรับค่าเฉลี่ย 

O-NET ม.6 ทั้ง 8 วิชา แต่ละวิชามีคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยมีผู้เข้าสอบ
ทั่วประเทศประมาณ 3.5 แสนคน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยดังนี้ ภาษาไทย คะแนนเฉลี่ย
ทั่วประเทศ 42.61, สังคมศึกษา เฉลี่ย 46.51, ภาษาอังกฤษ เฉลี่ย 19.22 ,
 คณิตศาสตร์ เฉลี่ย 14.99, วิทยาศาสตร์ เฉลี่ย 30.90, สุขศึกษาและพลศึกษา
 เฉลี่ย 62.86, ศิลปะ เฉลี่ย 32.62 , การงานอาชีพและเทคโนโลยี เฉลี่ย 43.69 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานค่าสถิติดังกล่าวพบว่าวิชาหลัก นักเรียน ม.6 ได้คะแนน

เฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ 50 และที่น่าเป็นห่วง คือ วิชาคณิต-อังกฤษ คะแนนเฉลี่ย
ค่อนข้างต่ำมาก โดยได้ไม่ถึงร้อยละ 20 


*********************


ที่มา :  http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/47594
http://www.kroobannok.com/42674

03 เมษายน 2554

ผ้าไหมโฮล : ผ้าไหมประจำจังหวัดสุรินทร์




ปลายปี 2553  วิชาการโรงเรียนชุมพลวิทยาสรรค์ได้นำเสนอ
การแสดงรำพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์   ซึ่งได้นำเสนอวัฒนธรรม
และความเป็นอยู่ของคนสุรินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของชาว
ชุมพลบุรี เขตทุ่งกุลาร้องไห้ที่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยลำน้ำมูล
ข้าวหอมมะลิเม็ดงาม  และผ้าไหมโฮล  ผ้าไหมยกดอกอันแสนสวย

วันนี้ไปพบบทความด้านล่าง  ผ่านมาหลายปี (กรกฏาคม 2550)  

เห็นว่าน่าสนใจก็ถือโอกาสเอามาฝากเผื่อจะมีผู้สนใจ  ภูมิใจในความ
เป็นอยู่ของคนอิสานใต้ เมืองสุรินทร์เหลายังไงละ 
ต้องขออนุญาตเจ้าของบทความขอตัดบางส่วนออกบ้าง 
เพื่อความพอดีของ blog ครับผม





ภาพจาก http://www.google.com






'ผ้าโฮลสุรินทร์'...โก อินเตอร์


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้คัดเลือกตัวแทน
ช่างฝีมือจากประเทศไทยไปแสดงวิธีการผลิตผ้าทอมือในงาน
เทศกาลวิถีชีวิตชาวบ้านประจำปี 2550 จัดโดยสถาบันสมิธโซเนียน 
ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างนี้จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2550





 คุณสุเพ็ญ  หนึ่งในสองภูมิปัญญาไทย  เล่าถึงลักษณะของผ้าโฮลว่า


 "โฮลแปลว่าไหล ลายของผ้าโฮลจะดูเป็นลายน้ำไหล เป็นผ้าไหมชนิดเดียว
ที่มีชายผ้าใช้ลักษณะการทอมือย้อมสีธรรมชาติทั้งหมด อย่างเช่นสีแดงย้อม
ด้วยครั่ง  สีเหลืองย้อมมาจากเข สีฟ้าย้อมมาจากคราม สีดำย้อมมาจากมะเกลือ
สีส้มก็ต้องเอาไปย้อมครั่งก่อนแล้วค่อยเอามาย้อมเขทีหลัง และสีเขียวก็ต้อง
ย้อมเขก่อนจึงนำมาย้อมด้วยครามทีหลัง"


 ลักษณะลายของผ้าโฮลและสีสันของผ้านั้นสืบทอดมาจากบรรพบุรุษนับพันปี 
แต่ครั้งขอมยังเรืองอำนาจอยู่ในดินแดนอีสานใต้ริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่ตั้งของจังหวัด
สุรินทร์ในปัจจุบัน คุณสุเพ็ญบอกว่าลายผ้าโฮลนี้อาจหาชมได้จากรูปปั้น
นางอัปสราที่อยู่ในปราสาทหินหลายหลังของดินแดนอีสานใต้ ชาวสุรินทร์
จึงสืบทอดการทอผ้าโฮลมาแต่นั้น   ผ้าโฮลถือเป็นผ้ามงคล นิยมใช้สวมใส่
ในงานพิธีมงคล เช่น งานแต่งงาน งานบวช ในการเรียกขวัญนาคก่อนจะทำ
พิธีบวชก็จะใช้ผ้าโฮลคลุมในการบายศรีสู่ขวัญนาค นิยมใช้กันมากในจังหวัด
สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์


ด้านความเชื่อ


 " บ้านที่มีสมาชิกในบ้านเพิ่งเสียชีวิต ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน 
หรือกำลังตั้งครรภ์ จะไม่สามารถย้อมสีผ้าโฮลได้ เพราะผ้าโฮล
เป็นของสูง"

สาเหตุที่การย้อมผ้าโฮลต้องใช้สีจากธรรมชาติเท่านั้นเป็นเพราะความภูมิใจ
ในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้คิดค้นวิธีการย้อมสีผ้าเอาไว้ให้ติดทนนาน 
ไม่มีปัญหาเรื่องสีตก และยิ่งใช้ผ้าโฮลไปนานเข้าสีของผ้าจะยิ่งสดและติด
ทนนานขึ้นตนจึงไม่คิดที่จะพัฒนาให้เป็นสีผสมประเภทอื่น


 ส่วน คุณพัชรี กล่าวถึงความรู้สึกเมื่อได้ทราบว่าได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน
ตัวแทนช่างฝีมือจากประเทศไทยไปร่วมแสดงวิถีชีวิตของชาวบ้านริม
แม่น้ำโขงในงานเทศกาลครั้งนี้ว่า


 "ภูมิใจมากค่ะ เพราะผ้าโฮลที่เราทอเป็นผ้าประจำจังหวัดสุรินทร์ ดีใจที่เกิด
เป็นคนสุรินทร์และได้มีโอกาสดีๆ ที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรมของสุรินทร์ให้
ชาวโลกได้รับรู้ถึงความสวยงามของผ้าไทยของเรา ผ้าโฮลนับว่าเป็นราชินี
แห่งผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์ ก็ดีใจที่ทำตรงนี้แล้วมีคนมองเห็นคุณค่า
ของงานฝีมือของชาวบ้าน"


 ทุกวันนี้การทอผ้าโฮลยังคงเป็นกิจกรรมหลังฤดูที่ว่างเว้นจากการทำนา
ของหญิงสาวชาวสุรินทร์จำนวนไม่น้อย ด้วยเป็นผ้าที่ต้องใช้ฝีมือมากในการทอ
 และเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นอกเหนือไปจากการทำหน้าที่สืบทอด
วัฒนธรรมทอผ้าโฮลของชาวสุรินทร์ความภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาวจังหวัด
สุรินทร์ก็คือการได้ทอผ้าโฮลสีเหลืองทองขึ้นมาผืนหนึ่ง เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 
80 พรรษา และทอผ้าโฮลสีฟ้าครามอีกหนึ่ง ผืนเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของชาวสุรินทร์


 "อยากให้ลูกหลานดูตัวอย่างการทอผ้าของรุ่นพ่อรุ่นแม่เอาไว้ วัฒนธรรม
ของเราอีสานใต้ มีมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว ก็อยากทำเป็นตัวอย่างให้เห็น
และให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้สืบทอดต่อไป


อยากให้ลูกหลานชาวสุรินทร์ให้ความสนใจและสืบทอดวัฒนธรรมการ
ทอผ้าโฮลต่อไป"คุณ พัชรีกล่าว


รัชดากร จิตรามาศ



Sources  :  http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/05/WW06_0607_news.php?newsid=82366

http://www.youtube.com/watch?v=xKsLcXsKPfI




ผ้าไหมโฮล

2 รูปด้านบนก็นำมาจากท่านกูเกิ้ล http://www.google.com ครับผม